สสส.และเครือข่ายลดบริโภคเค็มร่วมกับ WHO สร้างยุทธศาสตร์“ลดการบริโภคเกลือโซเดียม”ให้ได้ภายในปี 2568
สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)และเครือข่ายลดบริโภคเค็ม ร่วมกับองค์การอนามัยโลก ร่วมหนุนการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ “ลดการบริโภคเกลือโซเดียม” ในประเทศไทย สานเสริมพลังความร่วมมือขับเคลื่อนสังคมเพื่อลดการบริโภคเกลือและโซเดียมให้เกิดผลสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรม เร่งปรับพฤติกรรมการบริโภคอาหารของประชาชนให้เหมาะสมและลดการบริโภคเค็ม (โซเดียม) ที่มากเกินพอดี เพื่อให้ทุกคนมีสุขภาพดีและลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคที่ไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ภายในปี 2568 ให้ได้ 30 เปอร์เซ็นต์
ทพญ.จันทนา อึ้งชูศักดิ์ ประธานกรรมการกำกับทิศทางแผนอาหารเพื่อสุขภาวะ สำนักสร้างเสริมวิถีชีวิตสุขภาวะ สสส. เปิดเผยว่า การขับเคลื่อนยุทธศาสตร์“ลดการบริโภคเกลือโซเดียม” ในประเทศไทย เป็นภารกิจสำคัญของประเทศ โดยเฉพาะเมื่อการบริโภคโซเดียมในปริมาณมาก จะทำให้เกิดภาวะความดันโลหิตสูง นอกจากนี้ยังทำให้เกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจห้องซ้ายหนา (Left ventricular hypertrophy) และเกิดการสะสมของพังผืดในกล้ามเนื้อหัวใจ ไตและหลอดเลือดซึ่งเป็นอันตรายถึงขั้นเสียชีวิต สถานการณ์การบริโภคเกลือของประเทศไทยในขณะนี้ จากผลการสำรวจปริมาณการบริโภคเกลือโซเดียมในประชาชนทั่วประเทศเมื่อปี พ.ศ.2563 พบว่า คนไทยบริโภคโซเดียม เฉลี่ย 3,636 มิลลิกรัม (มาตรฐานปกติ 2,000 มิลลิกรัม) ซึ่งแสดงให้เห็นว่าคนไทยได้รับเกลือในปริมาณที่มากกว่าปริมาณที่แนะนำต่อวันเกินเกือบ 2 เท่า ทั้งนี้หากปรับพฤติกรรมการบริโภคโดยลดบริโภคโซเดียมลงเพียงเล็กน้อย (ประมาณ 700-800 มิลลิกรัมต่อวัน) ก็จะสามารถลดอัตราการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดลงได้ถึง 20% และลดอัตราตายได้ 5-7%ทพญ.จันทนากล่าวว่า สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) โดยแผนอาหารเพื่อสุขภาวะ สำนักสร้างเสริมวิถีชีวิตสุขภาวะ ได้ร่วมกับเครือข่ายลดการบริโภคเค็ม รณรงค์ขับเคลื่อนสังคมด้วยองค์ความรู้ นวัตกรรม และการขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะ เพื่อสร้างความรอบรู้ด้านการบริโภคอาหารเพื่อสุขภาวะ ลดการบริโภคเค็ม (โซเดียม) พร้อมทั้งส่งเสริมการจัดสภาพแวดล้อมด้านอาหารเพื่อสุขภาวะที่เอื้อต่อการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภค เพื่อนำไปสู่การลดความเสี่ยงจากการเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ซึ่งเกิดผลการดำเนินงานที่สำคัญ ได้แก่ การผลักดันให้เกิดมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 8 พ.ศ.2558 เรื่องนโยบายการลดบริโภคเกลือและโซเดียมเพื่อลดโรคไม่ติดต่อ (NCDs) และการจัดทำยุทธศาสตร์การลดการบริโภคเกลือและโซเดียมในประเทศไทย ปี พ.ศ.2559-2568 ,การพัฒนาปรับปรุงสูตรอาหารให้มีความเค็มลดลง โดยใช้สารทดแทนความเค็ม , พัฒนาต้นแบบผลิตภัณฑ์อาหารลดโซเดียม , ขยายผลนวัตกรรมเครื่องตรวจสอบความเค็มในอาหาร , เกิดฐานข้อมูลโซเดียมในวัตถุดิบอาหาร-เครื่องปรุงรสเค็มที่นิยมใช้ในอาหารตามภาคต่าง ๆ และอาหารแปรรูป โดยความร่วมมือกับสถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล รวมทั้งการรณรงค์ “ลดเค็ม ลดโรค” “ลดเค็ม ครึ่งหนึ่ง” โดยสื่อสารประชาสัมพันธ์และให้ความรู้ประชาชนผ่านสื่อและช่องทางต่าง ๆ เพื่อให้ประชาชนได้รับความรู้และเกิดความตระหนักปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
นอกจากนี้ สสส. และเครือข่ายลดการบริโภคเค็ม ยังได้ร่วมกับคณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล และกรมสรรพสามิต กระทรวงการคลัง เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนมาตรการลดการบริโภคเกลือโซเดียมในประชากรไทย โดยมีเป้าหมายในการขับเคลื่อนมาตรการภาษีโซเดียม สร้างกติกากลางให้กับภาคอุตสาหกรรมเพื่อนำไปสู่การปรับสูตรลดปริมาณโซเดียมในผลิตภัณฑ์อาหารเพื่อปกป้องสุขภาพของประชาชนอีกด้วย “การใช้นโยบายสาธารณะเพื่อลดการบริโภคเกลือในประชากรนั้น มีประสิทธิภาพและคุ้มค่าต่อการลงทุนโดย
ข้อมูลจากการศึกษาในหลายประเทศให้ผลสอดคล้องกัน ถึงความคุ้มค่าและแสดงให้เห็นถึงผลของการลดบริโภคเกลือต่อสุขภาพ รวมทั้งประหยัดค่าใช้จ่ายของระบบบริการสุขภาพ ตัวอย่างเช่น ในประเทศสหรัฐอเมริกา การลดการบริโภคเกลือในประชากรวันละ 3 กรัมจะส่งผลให้เพิ่มชีวิตคุณภาพ 194,000-392,000 QALYs และประหยัดค่ารักษาพยาบาล 10,000-24,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี นั่นหมายถึงการได้รับผลตอบแทน 6-12 ดอลลาร์ต่อทุกดอลลาร์ที่ใช้ในมาตรการควบคุม และการลดการบริโภคเกลือมีความคุ้มค่ามากกว่าการใช้ยาลดความดันโลหิต ส่วนในประเทศที่มีรายได้ต่ำถึงปานกลาง การลดบริโภคเกลือ 15% ในประชากรจะป้องกันการเสียชีวิตได้ 13.8 ล้านคนในเวลา 10 ปี โดยใช้ค่าใช้จ่ายเพียง 0.4 ดอลล่าร์ต่อคนต่อปี ซึ่งการศึกษานี้ ยังไม่ได้รวมผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและสังคมที่เกิดจากการลดการเจ็บป่วย ความพิการและการเสียชีวิต รวมทั้งค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการปรับสูตรอาหารในภาคอุตสาหกรรม” ทพญ.จันทนากล่าว
ด้านพญ.โอลิเวียร์ ไนเวรัส แพทย์ด้านโรคไม่ติดต่อ องค์การอนามัยโลกประจำประเทศไทย กล่าวว่า WHO กำหนดเป้าหมายการควบคุมโรคไม่ติดต่อในระดับนานาชาติ 9 เป้าหมาย ซึ่งหนึ่งใน 9 เป้าหมายนั้น คือการลดค่าเฉลี่ยการบริโภคโซเดียมของประชากรทั่วโลกลง 30 เปอร์เซ็นต์ภายในปี 2568 โดยต้องการให้ทุกประเทศให้ความสำคัญกับนโยบายของการลดบริโภคโซเดียมเนื่องจากปัจจุบันทั่วโลกมีประชากรกว่า 3 ล้านคนเสียชีวิตจากการบริโภคโซเดียมมากเกินไป ซึ่งการลดการบริโภคโซเดียมช่วยลดความดันโลหิต และความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด
ทั้งนี้ องค์การอนามัยโลกแนะนำให้บริโภคโซเดียมไม่เกิน 2,000 มก. ต่อวัน (เท่ากับเกลือไอโอดีน 5 กรัม) แต่อย่างไรก็ดีพบว่าค่าเฉลี่ยการบริโภคโซเดียมของประชากรทั่วโลกอยู่ที่ 3,600-4,800 มก. ต่อวัน ซึ่งสูงกว่าปริมาณที่แนะนำอยู่หลายเท่า จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่แต่ละประเทศจะต้องพิจารณาดำเนินมาตรการที่มีประสิทธิภาพ และคุ้มทุนเพื่อการลดการบริโภคโซเดียมของประชากร โดย
1.จะต้องมีการร่วมมือกับภาคอุตสาหกรรมในการปรับสูตรอาหาร โดยอาจกำหนดเพดานปริมาณโซเดียม หรือการตั้งเป้าหมายการลดปริมาณโซเดียมแบบบังคับ มีการพัฒนาเมนูลดโซเดียมในร้านอาหาร และมีการใช้มาตรการทางการเงิน (เก็บภาษีหรือให้เงินสนับสนุน)จากภาครัฐ
2.มาตรการองค์กรโดยใช้นโยบายการจัดซื้อและจัดหาอาหารโซเดียมต่ำในโรงเรียน โรงพยาบาล และสถานที่ทำงาน
3.กำหนดให้ฉลากหน้าบรรจุภัณฑ์แสดงข้อมูลที่ชัดเจน เช่น คำเตือนโซเดียมสูง หรือระบุปริมาณโซเดียมโดยสีสัญญานไฟจราจรและ 4.การรณรงค์เพื่อลดการบริโภคโซเดียมผ่านการสื่อสารเพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรม พร้อมกับการรณรงค์ และสื่อสารกับประชาชนในทุกทิศทาง
ด้าน รศ.นพ.สุรศักดิ์ กันตชูเวสศิริ ประธานเครือข่ายลดบริโภคเค็ม กล่าวว่า คนไทยกินเค็มเกินความต้องการของร่างกายถึงเกือบ 2 เท่า จึงเป็นสาเหตุของการเจ็บป่วยด้วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง NCDs ที่สำคัญในช่วงระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมาเกิดวิกฤตการณ์แพร่กระจายของเชื้อไวรัสโควิด-19 ส่วนหนึ่งทำให้มีผู้คนมากมายติดเชื้อโควิด-19 โดยเฉพาะผู้สูงอายุและผู้ป่วยโรคไตที่อาการมากกว่าคนทั่วไป ในส่วนของการส่งเสริมกิจกรรมลดพฤติกรรมการบริโภคเค็มได้ดำเนินการในทุก ๆ ด้าน โดยผลการสำรวจโซเดียมในผลิตภัณฑ์อาหารในปี 2563-2564 ร่วมกับสมาคมเพื่อนโรคไต
ได้มีการเก็บข้อมูลผลิตภัณฑ์อาหาร 4 กลุ่ม ประกอบด้วย 1. กลุ่มอาหารแช่แข็ง 53 รายการ มีโซเดียมเฉลี่ย 890 มิลลิกรัม/บรรจุภัณฑ์ มากกว่าคำแนะนำขององค์การอนามัยโลกที่กำหนดให้ปริมาณโซเดียมจากอาหารหลักควรได้รับไม่เกิน 600 มิลลิกรัม/มื้อ 2. กลุ่มอาหารกึ่งสำเร็จรูป 300 รายการ ได้แก่ บะหมี่ โจ๊กและซุปกึ่งสำเร็จรูป มีโซเดียมเฉลี่ย 1,240 มิลลิกรัม มากกว่า 2 เท่าของคำแนะนำขององค์อนามัยโลกที่กำหนดให้ปริมาณโซเดียมจากอาหารหลักควรได้รับไม่เกิน 600 มิลลิกรัม/มื้อ 3. กลุ่มขนมขบเคี้ยว 400 รายการ โดยแบ่งเป็นกลุ่มขนมขบเคี้ยวรสชาติเค็ม ได้แก่ มันฝรั่ง ข้าวเกรียบ ถั่ว สาหร่าย ปลาเส้น 320 รายการ มีค่าโซเดียมเฉลี่ย 201 มิลลิกรัมต่อหน่วยบริโภค ซึ่งมากกว่าคำแนะนำจากองค์การอนามัยโลกที่กำหนดให้ปริมาณโซเดียมจากอาหารระหว่างมื้อควรได้รับ ไม่เกิน 100 มิลลิกรัมต่อมื้อ และ 4. กลุ่มเครื่องปรุงรส 100 รายการ มีโซเดียมเฉลี่ย 758 มิลลิกรัมต่อหน่วยบริโภค และเมื่อนำผลการสำรวจมาเทียบเกณฑ์แนะนำของ WHO (sodium benchmark) พบว่า แม้ในแต่ละกลุ่มจะมีบางผลิตภัณฑ์ที่มีปริมาณโซเดียมผ่านเกณฑ์ แต่ค่าเฉลี่ยของโซเดียมในผลิตภัณฑ์อาหารแต่ละกลุ่มล้วนสูงกว่าเกณฑ์ดังกล่าวทั้งสิ้น
รศ.นพ.สุรศักดิ์ กล่าวต่อว่า การขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ “ลดการบริโภคเกลือโซเดียม” ในประเทศไทย โดย เครือข่ายลดบริโภคเค็ม ประจำปี 2565 นอกจากจะกำหนดนโยบายและสำรวจเกณฑ์ปริมาณโซเดียมสูงสุดในผลิตภัณฑ์อาหารแล้ว ยังจัดดำเนินการโครงการลดเค็มเลือกได้ (การอบรมเพื่อพัฒนาเมนูอาหารลดโซเดียมแก่ผู้ประกอบการทางภาคเหนือ) โดยทีมงานดร.ยิ่งศักดิ์ จงเลิศเจษฎาวงศ์ นักวิชาการด้านโภชนาการอาหาร, การจัดทำผลสำรวจแนวโน้มปริมาณโซเดียมและลักษณะทั่วไปของอาหารกึ่งสำเร็จรูปที่จำหน่ายในประเทศไทย พ.ศ. 2561-2564 และโครงการสำรวจปริมาณโซเดียมและโซเดียมคลอไรด์ในผลิตภัณฑ์ประเภทผงปรุงรส ซึ่งมีประโยชน์ต่อส่วนรวมและสังคมไทยเป็นอย่างยิ่ง
ด้าน นพ.ชนาธิป ไชยเหล็ก นักศึกษาหลักสูตรสาธารณสุขศาสตรมหาบัณฑิต คณะสาธารณสุขศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า งานวิจัยเรื่องแนวโน้มปริมาณโซเดียมและลักษณะทั่วไปของอาหารกึ่งสำเร็จรูปที่จำหน่ายในประเทศไทย พ.ศ. 2561-2564 มีวัตถุประสงค์เพื่อบรรยายแนวโน้มปริมาณโซเดียมในอาหารกึ่งสำเร็จรูปที่จำหน่ายในประเทศไทย จำแนกตามลักษณะของอาหาร โดยใช้ข้อมูลทุติยภูมิจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และเครือข่ายลดบริโภคเค็ม ผลการศึกษาพบว่า 1.ค่ามัธยฐานปริมาณโซเดียมในอาหารกึ่งสำเร็จรูปในปี 2564 เท่ากับ 1,750.0 มิลลิกรัม/100 กรัม ซึ่งมีแนวโน้มลดลงร้อยละ 11.6 เมื่อเทียบกับปี 2561 ลักษณะของอาหารที่ปริมาณโซเดียมมีแนวโน้มลดลง ได้แก่ ประเภทข้าวต้มหรือโจ๊ก ผู้ผลิตยี่ห้อหนึ่ง เส้นชนิดบะหมี่ ภาชนะบรรจุแบบถ้วย และอาหารที่ผลิตในประเทศไทยและจีน 2.ค่ามัธยฐานปริมาณโซเดียมในผลิตภัณฑ์เดียวกันระหว่างปี 2561 และ 2564 ไม่มีการเปลี่ยนแปลง โดยมีผลิตภัณฑ์จำนวน 19 รายการ (33.3%) ที่ปรับสูตรปริมาณโซเดียมลดลง และ 3.สัดส่วนของผลิตภัณฑ์ที่ผ่านเกณฑ์สัญลักษณ์ทางเลือกสุขภาพ เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 4.5 เป็นร้อยละ 21.1 ในปี 2561 และปี2564 ทั้งในประเภทบะหมี่ และข้าวต้มหรือโจ๊ก รวมถึงอาหารที่ผลิตในประเทศไทย
ด้านคุณวาสนา นาราศรี นักวิชาการโภชนาการชำนาญการ ฝ่ายโภชนาการและสุขภาพ สถาบันค้นคว้าและพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหาร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์วิทยาเขตบางเขนกล่าวว่า จากการสำรวจปริมาณโซเดียมและโซเดียมคลอไรด์ในผลิตภัณฑ์ประเภทผงปรุงรสที่มีปริมาณโซเดียมเฉลี่ยสูงและไม่มีการแสดงฉลากโภชนาการให้ถูกต้อง จึงทำให้ผู้บริโภคขาดความตระหนักในการใช้ปรุงอาหารอยู่หลายผลิตภัณฑ์ในท้องตลาด โดยได้ทำการสำรวจจุดจำหน่าย ทั้งซุปเปอร์มาเก็ต ไฮเปอร์มาเก็ต ห้างสรรพสินค้าและร้านค้าออนไลน์ เพื่อรวบรวมเป็นฐานข้อมูล ในการนำไปใช้ประกาศการแสดงฉลากโภชนาการและ GDA
รวมถึงใช้ในการรณรงค์ให้ประชาชนใช้ผลิตภัณฑ์ผงปรุงรสในปริมาณที่เหมาะสม และกระตุ้นภาคอุตสาหกรรมให้ปรับสูตรผลิตภัณฑ์ชนิดนี้ให้มีปริมาณโซเดียมลดลง จากผลการศึกษามีผลิตภัณฑ์ผงปรุงรส ทั้งหมด 252 ตัวอย่าง แบ่งเป็น 6 กลุ่ม ซึ่งมีปริมาณโซเดียมและโซเดียมคลอไรด์เฉลี่ยในผลิตภัณฑ์ผงปรุงรส กลุ่มต่าง ๆ ต่อหนึ่งหน่วยบริโภค (ดังแสดงในภาพ) จะเห็นว่าปริมาณโซเดียมมีผลกับระดับความเสี่ยงต่อสุขภาพ
โดยเฉลี่ยแล้วไม่ควรเกิน 600 มิลลิกรัมต่อมื้ออาหาร ในผลิตภัณฑ์ประเภทผงปรุงรสที่มีปริมาณโซเดียมเฉลี่ยสูงกว่า 600 มิลลิกรัมต่อหนึ่งหน่วยบริโภค ได้แก่ ผงปรุงรส 35 ตัวอย่างใน 56 ตัวอย่าง (ร้อยละ 62.5) ผงปรุงอาหารสำเร็จรูป 90 ตัวอย่างใน 109 ตัวอย่าง (ร้อยละ 82) และผงทำน้ำซุป 18 ตัวอย่างใน 21 ตัวอย่าง (ร้อยละ 85) ส่วนซุปก้อน 20 ตัวอย่าง ผงชูรส 8 ตัวอย่างและผงปรุงรสสำหรับขนมขบเคี้ยว 38 ตัวอย่าง ผลที่ได้จ
ไม่มีความคิดเห็น